การติดเชื้อไวรัสฮิวแมนแป๊บปิโลม่า (เอช พี วี) และรอยโรคของการเกิดมะเร็งปากมดลูกในผู้หญิงไทยที่ติดเชื้อเอช ไอ วี: การศึกษาแบบไปข้างหน้า
ในประเทศไทยพบว่ามะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดเป็นอันดับสองของผู้หญิงและเป็นสาเหตุการเสียชีวิตมากกว่า 5,000 รายต่อปี หญิงที่ติดเชื้อเอช ไอ วี มีความเสี่ยงในการติดเชื้อเอช พี วีมากขึ้น และไวต่อการพัฒนาไปเป็นรอยโรคมะเร็งปากมดลูกได้มากขึ้นและเกิดเป็นมะเร็งได้ในที่สุด
การติดเชื้อไวรัสเอช พี วี พบว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักในการพัฒนาของมะเร็งปากมดลูก ในจำนวนสายพันธุ์เชื้อไวรัสเอช พี วีที่มีมากกว่า 100 สายพันธุ์นั้น องค์การอนามัยโลกได้พิจารณาว่ามีเชื้อไวรัสเอช พี วีชนิดมีความเสี่ยงสูงอยู่ 13 สายพันธุ์ (high risk HPV: HR-HPV) โดยเฉพาะสายพันธุ์ 16 และสายพันธุ์ 18 ซึ่งเชื้อไวรัสเอช พี วี 2 สายพันธุ์นี้ก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูกมากกว่าร้อยละ 70 ทั่วโลก วัตถุประสงค์หลักของการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเชื้อไวรัสเอช พี วี ในกลุ่มผู้ป่วยหญิงที่ติดเชื้อเอช ไอ วี ในประเทศไทยคือเพื่อ:
นับตั้งแต่ปีพ.ศ. 2555 ถึง 2556 โครงการวิจัยเกี่ยวกับเชื้อไวรัสเอช พี วีได้รับอาสาสมัครหญิงที่ติดเชื้อเอช ไอ วีจำนวนทั้งสิ้น 829 รายในโรงพยาบาล 24 แห่งทั่วประเทศไทย อาสาสมัครหญิงได้รับการตรวจการติดเชื้อไวรัสเอช พี วีและการตรวจ pap-smear ทุกปี ในกรณีที่มีผลการตรวจ pap-smear ผิดปกติหรือพบเชื้อไวรัสเอช พี วีชนิดที่มีความเสี่ยงสูง อาสาสมัครหญิงจะได้รับการส่งต่อเพื่อทำการตรวจเพิ่มเติมด้วยกล้องขยาย (colposcopy) และการตรวจชิ้นเนื้อบริเวณปากมดลูกไปตรวจหากพบว่ามีข้อบ่งชี้ และได้รับการรักษาที่เหมาะสมหากจำเป็น ปัจจุบันโครงการวิจัยนี้ได้สิ้นสุดลงแล้วและร้อยละ 78 ของอาสาสมัครหญิงจากจำนวน 829 รายที่เข้าร่วมโครงการวิจัยได้รับการติดตามจนกระทั่งสิ้นสุดการวิจัย และอาสาสมัครหญิงร้อยละ 90 ได้รับการติดตามอย่างน้อย 2 ครั้ง
การตีพิมพ์:
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดดูที่: ClinicalTrials.gov NCT01792973
|
ผลการวิจัย
การวิเคราะห์การติดตามเกี่ยวกับอุบัติการณ์ การคงอยู่ และการกำจัดการติดเชื้อไวรัสเอช พี วีชนิดมีความเสี่ยงสูงและรอยโรคมะเร็งปากมดลูกกำลังอยู่ระหว่างการวิเคราะห์ข้อมูล ผลของการศึกษาวิจัยนี้จะให้ข้อมูลสำคัญสำหรับผู้วางนโยบายในด้านกลยุทธ์ในการคัดกรองและความเป็นไปได้ของประโยชน์ในการจัดให้มีการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสเอช พี วี
|